เข็มทิศ SME: บทเรียนจาก BlackBerry

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2556
บทสรุปจากบทความ “เข็มทิศ SME: บทเรียนจาก Blackberry”

flickr:10670742353

จากบทความได้อธิบายถึงบริษัท “BlackBerry” บริษัทผู้ผลิตบริษัทสมาร์ทโฟนรายใหญ่ตอนแรกที่มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 31 % แต่ ณ ปัจจุบันนี้มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 3 % เท่านั้นอาจจะสาเหตุหลักจาก “Iphone”ของ Apple และ “Android” จากบริษัท Samsung ได้รับการตอบรับจากตลาดอย่างดีเยี่ยมทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของBlackberry ตกลงอย่างรวดเร็ว
นักวิเคราะห์หลายท่านได้อธิบายสาเหตุการถดถอยของบริษัท Blackberry ไว้ในหลายสาเหตุด้วยกันซึ่งปัญหาหลักที่ทุกคนมองเห็นนั้นก็คือเรื่อง “วิสัยทัศน์ขององค์กรและความขัดแย้งภายในของบริษัท” บริษัท Blackberry ได้มีการปลดพนักงานออกเป็นครั้งใหญ่ถึง 40 % หรือประมาณ 4,500 คนและนอกจากนั้นยังมีการปรับเปลี่ยนโครงการของผู้บริหารระดับสูงอีกด้วย จนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทได้ดำเนินการเจรจาเพื่อขายบริษัทในราคาเพียง 4,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพียงเท่านั้น
เมื่อนาย Thorsten Heins ได้เป็น CEO คนใหม่ของ Research in Motion (RIM) ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Blackberry Inc. เขาได้ให้สัมภาษณ์นักข่าวราวกับว่าไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับบริษัท จึงทำให้เขาถูกวิจารณ์อย่างหนักจนในช่วงเดือนต่อบริษัทได้มีการแถลงผลประกอบการประจำไตรมาสว่า รายได้ของบริษัทลดลงจากเดิมถึง 19% และยอดขายของ BB ก็ตกลงถึง 21 % เช่นกัน
flickr:10670741743
แต่ในช่วงต่อมาบริษัท Blackberry พยายามกู้สถานการณ์โดยการออก Blackberry Q10, Z10 และ Z30 แต่ยอดกลับไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ และถูกวิจารณ์อย่างหนักว่า Blackberry ที่ออกใหม่นั้นมีการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆแต่อย่างใด จึงทำให้ยอดขายBlackberryที่ออกมาไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร
สิ่งที่เป็นจุดเด่นของBlackberry นั้นก็คือการที่เป็น Smart Phone ที่มีคุณภาพสูงมีแป้นพิมที่สามารถใช้งานได้ง่าย, มีระบบ Push Mail, มีโปรแกรมChat อย่าง Blackberry Messenger (BBM) ที่มีความปลอดภัยสูงจนทำให้Blackberry มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
แต่ในระยะเวลาต่อมาได้มีคู่แข่งอย่าง Apple และ Andriod ที่มีการพัฒนาSoftwareเข้าสู่โปรแกรมสามารถสนทนาได้โดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ระบบปฎิบัติการและโทรศัพท์ยี่ห้อเดียวกันอีกต่อไป ทำให้โปรแกรมแชทของ BB ได้รับความสนใจน้อยลงเรื่อยๆ
flickr:10670547094
ณ ปัจจุบันนี้ได้ผู้บริโภคหันไปสนใจSmart phone ที่ใช่ระบบสัมผัสหน้าจอ หรือ Touch UI กันมากขึ้น บริษัท Smart Phone ต่างๆพยายามปรับเปลี่ยนให้เท่าทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปแต่มีเพียงBlackBerry ที่ยังคงเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของตนเองไม่ปรับตัวเข้ากับกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจึงส่งผลให้บริษัทนั้นต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างรวดเร็วๆจนทำให้ Apple และ Samsung กลายเป็นผู้นำตลาดและกำลังขับเคลื่อนพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
จากที่กล่าวมานั้นสามารถสรุปประเด็นสำคัญของบทความได้ว่า ธุรกิจนั้นสำคัญอยู่ที่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เปลี่ยนไปตามตลาดและผู้บริโภคเป็นหลัก ในกรณี Blackberry ที่ยังคงยึดมั่นในวิถีแบบเดิมๆผู้บริหารที่ยังเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของตนเอง จนมองข้ามการเปลี่ยนไปที่เกิดขึ้นในโลกของเรานั้นเอง
บทวิเคราะห์บทความ “เข็มทิศ SME: บทเรียนจาก Blackberry”
จากที่ได้อ่านบทความและสรุปเนื้อหาข้างต้นนี้แล้วนั้นทำให้ได้ข้อสังเกตุอย่างหนึ่งนั้นก็คือเรื่องของการ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ในปัจจุบันสิ่งที่เราเรียกว่าเทคโนโลยีนั้นมาเร็วไปไวอย่างคลาดไม่ถึง บางครั้งมาเร็วจนเรายังไม่ได้ทดลองใช้ก็หายไป แต่ที่น่าสังเกตุคือทำไมมีเทคโนโลยีบางส่วนที่ยังสามารถอยู่ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างน่าอัศจรรย์
ปัจจุบันพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความหลากหลาย แตกต่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่เราหยุดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพียงแค่ช่วงพริบตาเดียวเราอาจจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดไปอย่างที่เราไม่สามารถเรียกกลับมาได้ทันถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของบริษัทเราจะดีมากแค่ไหนเราก็ต้องใส่ใจการเป็นพลวัตรของโลกเราอยู่เสมอ “ไม่มีของดีอะไรที่อยู่จะอยู่ตลอดไปโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
flickr:10670741793
จากบทความข้างต้นสามารถนำมาวิเคราะห์ได้ในหลายด้านเพื่อเป็นแนวคิดให้พัฒนาเทคโนโลยีในดียิ่งขึ้นในประเด็นแรกเรื่องคือ “ควรให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์มากกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวทีมงาน”จากกรณีศึกษาบริษัท Blackberry นี้ได้มีการปลดพนักงานออกถึง 40 %และได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานของผู้ริหารระดับสูงอีกด้วยโดยให้ความเห็นว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างวิสัยทัศน์และการทำงานในรูปแบบใหม่นั้นโดยส่วนตัวมองเป็นการให้เหตุผลที่ยังไม่เหมาะสมเพราะเชื่อมั่นว่าการมีวิสัยทัศน์ที่ดีและแนวคิดที่ก้าวไกลนั้นสามารถสร้างได้ถ้าผู้นำกล้าที่ลุกขึ้นเป็นแก่นนำของการเปลี่ยนแปลงเพราะการปลดพนักงานออกเหมือนเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุพนักงานที่อยู่จะหมดกำลังใจว่าตัวเองจะโดนออกเมื่อไร ใจที่จะรักในการทำงานต่อไปก็จะไม่เต็มที กลับกันถ้าเราใช้วิธีแก้โดนการให้ใจพนักงาน ไม่ปลดพนักงานออกแล้วหาทางออกให้บริษัทอยู่อย่างยั่งยืนเห็นว่าจะเหมาะสมมากกว่า
ประเด็นต่อมาในเรื่อง “อย่ายึดติดกับความสำเร็จในอดีตมากเกินไป”นั้นจากคำกล่าวนี้ทำให้สามารถนำวิเคราะห์ว่า บริษัทBlackberry มีสัดส่วนการตลาดถึง 31%ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมากด้วยนวัตกรรมที่มีความแปลกใหม่ และมีคุณภาพ โดยส่วนตัวเคยใช้Smart Phone ของ Blackberry มาก่อนชอบในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของโทรศัพท์ที่มีแป้นพิมที่สามารถใช้งานได้ง่าย พิมสนุก รูปแบบแปลกตาที่แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือทั่วไป และยิ่งโปรแกรมแชทที่เราสามารถแชทกับBlackberry ด้วยกันเองยิ่งเหมือนเป็นการสร้างเครือข่ายมือถือให้ใหญ่ขึ้น แต่การที่สร้างการตลาดแบบ Connectivity นั้นยังส่งผลทั้ง 2 ด้าน ด้านดีคือถ้าคนใช้มากๆขึ้นเกิดการบอกต่อคนก็จะใช้ตามๆกันเกิดการเชื่อมโยงที่ใหญ่มากขึ้นแต่ในทางกลับกันถ้าผู้ใช้น้อยลงเรื่อยๆกลุ่มConnectionก็จะลดน้อยลงอย่างรวดเร็วจนไม่เหลือการเชื่อมโยงของเครือข่ายที่เกิดขึ้นอีกเลย
flickr:10670547534
เพราะฉะนั้นการที่BlackBerry ก้าวออกมาเป็นผู้นำตลาดได้นั้น ควรที่จะเร่งพัฒนานวัตกรรมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมการที่เราหลงเชื่อในเทคโนโลยีของตนเองแล้วไม่รู้จักที่จะพัฒนาหรือหาจุดรวมของการเปลี่ยนแปลงโดยที่คงความเป็นตัวเองที่โดดเด่นและพัฒนาด้านอื่นๆที่เป็นข้อด้อยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งที่ผ่านไปอาจจะมีบริษัทคู่แข่งที่เล่งเห็นถึงช่องว่างและแทรกเข้ามาจนวันนี้เราอาจจะไม่เหลือตัวเองในตลาดอีกต่อไป เพราะฉะนั้นการคงไว้ซึ่งสิ่งที่ดีที่เป็นเอกลักษณ์ของตนและเร่งพัฒนาด้านอื่นๆเพื่อต่อยอดสิ่งที่มีอยู่ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
และประเด็นสุดท้ายในคำกล่าวที่ว่า“การวางกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายนำไปสู่การดำเนินการที่ผิดพลาด” นั้นมองว่าบางครั้งการที่เราออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆก็เหมือนกับเป็นกระแสหรือแฟชั่นคนนิยมใช้กันช่วงแรกตามกระแสนิยมแต่ไม่มีความคงทนถาวรจุดเด่นของBlackBerry ในเรื่องของรูปลักษณ์คือปุ่มแป้นจำนวนมากที่เรียงรายกันอยู่ที่หน้าจอ และโปรแกรมแชททีไม่เหมือนใคร การที่มีรูปลักษณ์แปลกตากล้าคิดนอกกรอบมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงหรือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับเป็นดาบ 2 คมเมื่อโลกมีการเปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์จอ Touch UI มากขึ้น การจะเปลี่ยนแป้นที่เป็นเอกลักษณ์ไปเป็นจอTouch Skin ดูจะไม่เป็นคำตอบที่ลงตัวสักทีเดียว เนื่องด้วยปัจจัยนี้เองจึ่งทำให้BlackBerry กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่จะยอมลบภาพลักษณ์ที่ตนเองสร้างขึ้นเปลี่ยนไปตามบริษัทอื่นแต่เมื่อBlackberry ยืนกรานที่จะยังคงความเป็นตัวเองอยู่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือเป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดี แต่ในความคิดเห็นเชื่อว่า เทคโนโลยีก็เหมือนดั่งแฟชั่นที่มาเร็วไปเร็วและยังเหมือนวัฏจักรที่จะเวียนกลับมาเมื่อเวลาเหมาะสมอีกครั้ง แต่เมื่อไร และเวลาใดที่โทรศัพท์มือถือมากแป้นจะกลับมาอีกครั้งนั้นเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามต่อไปนั้นเอง

แหล่งที่มา : http://www.thairath.co.th/content/eco/372200

Unless otherwise stated, the content of this page is licensed under Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 License